Archive for เศรษฐกิจ

สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตฯ พุ่งสูงสุดรอบ 7 ปี ห่วงค่าเงิน-ขาดแคลนแรงงาน

สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตฯ พุ่งสูงสุดรอบ 7 ปี ห่วงค่าเงิน-ขาดแคลนแรงงาน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 สิงหาคม 2553 21:58 น.
สศอ.เผย 3 สินค้าอุตฯ ยอดส่งออกพุ่งกระฉูด ยันมีคำสั่งซื้อเข้ามาอีกเพียบ ส่งผลให้ สศอ.ต้องปรับเพิ่มประมาณการดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของปี 53 จาก 7 % เพิ่มเป็น 13 % มูลค่า 3.59 ล้านล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี แต่ยอมรับยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาท และการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ขณะที่ สสว.เผยดัชนีความเชื่อมั่น SME มิ.ย.53 อยู่ที่ 49.3 ฟากโตโยต้าปลื้ม ตลาดรถยนต์โตพุ่ง

นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.ได้ปรับเป้าหมายอัตราการเติบโตของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (จีดีพีอุตสาหกรรม) ทั้งปี 2553 อยู่ที่ 12-13% จากเดิมคาดว่าอยู่ที่ 6-7% ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 7 ปี นับตังแต่ปี 2546 ที่ผ่านมา และคาดว่ามูลค่าจะอยู่ที่ 3.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนล้านบาท จากปีก่อน มีมูลค่าอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ภายใต้ปัจจัยเงินเฟ้ออยู่ในระดับไม่เกิน 3.5% ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมทั้งปีคาดการณ์อยู่ที่ 15-16 %

ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวขึ้น เนื่องจากการส่งออกขยายตัวในทิศทางที่ดี ประกอบกับคำสั่งซื้อสินค้า (ออเดอร์) ที่มีอยู่ต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี และบางอุตสาหกรรมมีถึงต้นปี 2554 ขณะที่ออเดอร์ใหม่ๆก็จะเริ่มเข้ามาในไตรมาส 3 อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอเสื้อผ้า เซรามิก อัญมณี เป็นต้น แต่สิ่งที่น่ากังวลคือปัญหาขาดแคลนแรงงานที่อาจทำให้ประกอบการไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามออเดอร์ที่เข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานทักษะที่มีฝีมือ

สำหรับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ครึ่งปีแรกมีการขยายตัว 24.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 1 จีดีพีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสูงถึง 22.8% สูงสุดในรอบ 16 ปี ส่วนอัตราการใช้กำลังผลิต 6 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 62.9% สะท้อนการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นตามควาวมต้องการสินค้า

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตัวเลขการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าโต กว่าที่คาดไว้มาก ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวทำให้ภาคการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีแรกโตสูงถึง 70% ซึ่งเมื่อหักการส่งออกทองคำออก ก็ทำให้ตัวเลขการส่งออกที่ไม่นับรวมการส่งออกทองคำอยู่ที่ระดับ 38.7% โดยเดือนมิถุนายน 2553 มูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไม่รวมทองคำมีมูลค่าสูงถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นที่คาดว่าการส่งออกปีนี้จะโตถึง 19-20 %

ส่วนแนวโน้มดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลัง คาดว่ายังขยายตัวได้ดี เพราะยังมีการตัดสินใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างๆ จำนวนมาก อาทิ ฟอร์ด จีเอ็ม โตโยต้า เป็นต้น ซึ่งยอมรับว่าการขยายตัวจะเป็นไปในอัตราที่ชะลอตัวลงแต่ยังมีความแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะฐานของดัชนีฯจะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ยอมรับว่าอุตสาหกรรมที่ยังน่าเป็นห่วงอาจกระทบต่อการขยายตัวของดัชนีอุตสาหกรรมคือ ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งขณะนี้อยู่ในภาวะติดลบ

“ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเผชิญในครึ่งปีหลัง ยังเป็นการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก เสถียรภาพทางการเมือง แต่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หลังจากน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับขึ้นแตะระดับ 81 ดอลลาร์ต่อบาเรล จากกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาเรล ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็ส่งผลกระทบให้มูลค่าการส่งออกและมูลค่าของดัชนีอุตสากรรมลดลงด้วย” นางสุทธินีย์ กล่าว

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเอสเอ็มอี (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการประจำเดือน มิ.ย.53 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคเอสเอ็มอีเดือน มิ.ย.53 อยู่ที่ระดับ 49.3 เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค.ที่อยู่ระดับ 42.0 และเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกภาคธุรกิจ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 50.2 จาก ระดับ 51.6 และเป็นการเพิ่มขึ้นทุกภาคธุรกิจโดยภาคการค้าส่งภาคการค้าปลีกและภาคบริการ

มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์รวมปี 2553 คาดอาจสูงถึง 750,000 คัน พร้อมตั้งเป้าหมายการขายของตลาดรถยนต์ของโตโยต้าให้ได้ในระดับ 300,000 คัน และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากกว่า 40%

“ตลาดรถยนต์ในปีนี้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องประกอบกับเศรษฐกิจและการเมืองโดยรวมของประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี คาดว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้จะสูงขึ้นมากกว่า 700,000 คัน และมีความเป็นไปได้ที่จะถึงระดับ 750,000 คัน คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่สูงเกือบ 37% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว”

อย่างไรก็ดี ในส่วนของโตโยต้าจะพยายามสร้างยอดขายให้บรรลุสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2549 และคาดว่าจะสูงถึง 300,000 คัน และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ในระดับที่มากกว่า 40% ด้านการส่งออกเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออกที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนจากความต้องการรถจากลูกค้าในทวีปหลักๆ มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โตโยต้าคาดว่าการส่งออกรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2553 มีประมาณ 330,000 คัน เติบโต 39%

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9530000107409&Keyword=%e1%c3%a7%a7%d2%b9

Leave a comment »

วิกฤต!ยานยนต์-ไฟฟ้าขาดแรงงาน



วิกฤต!ยานยนต์-ไฟฟ้าขาดแรงงาน
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 27 กรกฎาคม 2553 07:21 น.
ASTVผู้จัดการรายวัน- “ชัยวุฒิ” สั่งบีโอไอถกเอกชนที่จำเป็นต้องนำเข้าแรงงานต่างด้าวจริงๆ ในการขยายธุรกิจหลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก เพื่อเสนอกลับเข้าบอร์ดบีโอไออีกครั้ง เผยอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จำเป็นต้องนำเข้า เตรียมชงบอร์ดบีโอไอตัดสินขั้นสุดท้ายเร็วๆ นี้
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไปหารือกับภาคเอกชนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอถึงความจำเป็นในการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเข้ามาเป็นรายๆเพื่อนำกลับเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบอร์ดบีโอไอที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้บอร์ดได้สั่งตีกลับมาศึกษาเพิ่มเติมเนื่องจากหากเปิดเป็นการทั่วไปจะกระทบต่อปัญหาสังคม
“คงจะต้องดูเป็นรายๆ และจำเป็นจริงๆ เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาได้เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและขัดต่อนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่กำหนดไว้ที่จะต้องให้เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงานของไทยและการนำเข้ามาคงจะต้องดูว่าแรงงานไทยไม่ขาดแคลนจริงเป็นสำคัญและเมื่อมีการพัฒนาคนในประเทศได้ก็จะต้องยกเลิก” นายชัยวุฒิกล่าว
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า การนำเข้าแรงงานต่างด้าวคงจะต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงและจำเป็นมากน้อยเพียงใดเป็นสำคัญและคงจะต้องกำหนดเงื่อนไขโดยเฉพาะระยะเวลาที่ท้ายสุดจะต้องใช้แรงงานไทยเพื่อไม่ให้ขัดกับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนซึ่งขณะนี้บีโอไออยู่ระหว่างการหารือกับผู้ประกอบการเพื่อที่จะเสนอไปยังบอร์ดบีโอไอเร็วๆ นี้ อีกครั้งเพื่อการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
“เบื้องต้นที่เอกชนเสนอมายอมรับว่าบางรายมีความจำเป็นจริงๆ เพราะแรงงานขาดมากเมื่อเขามีแผนขยายการลงทุนแต่หาแรงงานไม่ได้ก็จะต้องเสนอบอร์ดบีโอไอแต่ละครั้งไป ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 2-3 รายที่เข้าข่ายโดยเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หากนำเข้าแต่ละรายคงจะเป็นหลักพันคน”นางอรรชกากล่าว
นางอรรชกากล่าวถึงการจัดสัมมนาหัวข้อ “ผลักดันการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจภาคตะวันออก” โดยบีโอไอเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ภาคตะวันออกถือเป็นพื้นที่สำคัญต่อการลงทุนไทยซึ่งปัญหามาบตาพุดที่อาจไม่ชัดเจนเรื่องของประเภทกิจการรุนแรงคาดว่ารัฐบาลน่าจะเร่งสรุปได้เร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการลงทุนอุตสาหกรรมหนักโดยเฉพาะปิโตรเคมีในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้ามีความจำเป็นที่ไทยจะต้องชัดเจนว่าจะเป็นพื้นที่ใดหากไม่สามารถพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้หรือเซาท์เทิร์นซีบอร์ดแล้ว
ทั้งนี้ แนวโน้มการลงทุนในอนาคตประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนจะมีส่วนสำคัญดังนั้นบีโอไอจึงวางยุทธศาสตร์ที่จะเน้นการส่งเสริมการลงทุนกิจการที่สร้างมูลค่าเพิ่มและต่อยอดจากอุตสาหกรรมที่มีอยู่โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพหรือไบโอเทคที่จะจัดสัมมนาในการระดมความคิดเห็นเพื่อจัดวางยุทธศาสตร์วันที่ 6 ส.ค.นี้ นอกจากนี้ ยังมองไปยังอุตสาหกรรมที่เน้นการวิจัยและพัฒนา อุตสาหกรรมบริการเช่นสุขภาพ ท่องเที่ยว ให้ครบวงจรมากขึ้น
“กรณีที่หลายฝ่ายมองแนวโน้มการลงทุนไปยังทวาย ของประเทศพม่านั้นเร็วๆ นี้บีโอไอคงจะมีการออกไปสำรวจถึงทิศทางและความเป็นไปได้ของการลงทุนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งยอมรับว่ายังไม่รู้รายละเอียดแท้จริงว่าเป็นอย่างไรแน่”นางอรรชกากล่าว

Leave a comment »

“อลงกรณ์”ตั้งโต๊ะเจรจาพม่าเปิดด่านการค้าชายแดน-เดินหน้าเมกะโปรเจกต์

“อลงกรณ์”ตั้งโต๊ะเจรจาพม่าเปิดด่านการค้าชายแดน-เดินหน้าเมกะโปรเจกต์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 กรกฎาคม 2553 09:29 น.
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า วันนี้ ( 26 ก.ค.) ตนจะมีการประชุมร่วมกับเอกอัคราชทูตพม่าและคณะ ประจำประเทศไทย ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สอด ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจถึงปัญหาและข้อเท็จจริงในการปิดด่านการค้าชายแดนของพม่า และเพื่อให้มีการเปิดด่านเป็นปกติต่อไป จากนั้นจะเดินทางไปยังจังหวัดเมียวดี เพื่อร่วมประชุมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของพม่า โดยนอกจากการเจรจา เรื่องการเปิดด่านแม่สอด-เมียวดี แล้ว ยังจะมีการพูดคุยกันเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าร่วมกัน โดยจะมีการโครงการต่างๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่าย จะร่วมกันพัฒนา คือ โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 ที่ อ.แม่สอด – ศูนย์บริการวันสต็อปเซอร์วิส-คลังสินค้า และโครงการเมกะโปรเจกต์ที่ ทวาย ซึ่งจะเชื่อมโยงมายังชายแดนแม่สอด-เมียวดี อีกด้วย
สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.พบพระ จ.ตาก ค่อนข้างตึงเครียด ภายหลังทหารพม่า ส่งกำลังหลายกองพัน เข้าควบคุมพื้นที่ชายแดน ตามท่าเรือขนส่งสินค้าริมแม่น้ำเมยทั้งหมด กว่า 20 แห่ง รวมทั้ง ตามฐานที่มั่นสำคัญของฝ่ายทหารกะเหรี่ยงพุทธ DKBA สร้างความไม่พอใจให้กับ DKBA เนื่องจาก พม่าต้องการให้กองกำลังดังกล่าวเข้าร่วมเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF แต่ ดีเคบีเอ กลุ่ม พ.อ.นะคะมวย ไม่ยอม และได้ให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยง กว่า 400 คน อพยพเข้ามายังชายแดนไทย เพื่อเตรียมต่อสู้กับทหารพม่า

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000102766&Keyword=%be%c1%e8%d2

Leave a comment »

ไทย-พม่าถกเปิดด่านแม่สอด

ไทย-พม่าถกเปิดด่านแม่สอด
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 25 กรกฎาคม 2553 23:25 น.
ไทย-พม่าเปิดเจรจาปัญหาด่านแม่สอด-เมียวดีวันนี้ พม่าส่งรัฐมนตรีช่วยการกระทรวงการต่างประเทศ”อู หม่อง มินท์”นำคณะหารือ”อลงกรณ์”ที่เมืองเมียวดี

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผย วันนี้ ( 26 ก.ค.) ไทยและพม่าจะเปิดการเจรจาที่เมืองเมียวดีเกี่ยวกับปัญหการปิดด่านการค้าชายแดนแม่สอด-เมียวดี คาดว่าปัญหาจะคลี่คลาย เนื่องจากรัฐบาลพม่าและรัฐบาลไทยมีเจตนาร่วมกันในการส่เสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ และต้องการให้การค้าชายแดนกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว กำหนดการเจรจาครั้งนี้ กระทรวงต่างประเทศพม่าได้ติดต่อประสานงานส่งหนังสือถึงสถานทูตไทยในกรุงย่างกุ้งเมื่อวันศุกร์ที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา แจ้งยืนยันเรื่องการเปิดเจรจา 2 ฝ่าย โดยส่งนาย อูหม่อง มินท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศพม่าเป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายพม่า และเชิญตนเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย โดยตนได้รายงานเรื่องนี้ให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบและประสานไปยังนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการปฏิบัติราชการที่เวียดนามได้ทราบ และมอบหมายให้ตนเป็นผู้แทนเจรจาฝ่ายไทยพร้อมกันนี้ตนได้รายงานให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อทราบด้วย

จากนั้นได้ตอบรับทางพม่าอย่างเป็นทางการและยินดีที่จะเข้าร่วมการเจรจาในวันนี้ เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของพม่า) ที่ศาลาว่าการเมืองเมียวดี โดยตนได้ประสานกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศและผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ให้จัดประชุมซักซ้อมเตรียมพร้อมฝ่ายไทยในวันนี้ เวลา 8.00 น. ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สอด

สำหรับท่าทีของรัฐาลพม่า ถือได้ว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีของการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และสะท้อนถึงความตั้งใจของสองประเทศที่ต้องการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน ใฐานะที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งในช่วงกว่าปีที่ผ่านมา การค้าของสองประเทศเติบโตอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะด่านแม่สอด-เมียวดี มีมูลค่าการค้า 2.5 หมื่นล้านบาท( ตัวเลข 9 เดือนของปีงบประมาณ 2553 ) เพิ่มขึ้นกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนและส่อแนวโน้มที่ดีมาก ทำให้การค้าการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างคึกคัก จนกระทั่งเกิดปญหาการสร้างเขื่อนกั้นตลิ่งแม่น้ำเมยฝั่งไทยดำเนินการโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นเหตุให้รัฐบาลพม่าได้ทำหนังสือประท้วงตั้งแต่ต้นปีถึง 9 ครั้ง โดยระบุว่าไทยรุกล้ำแม่น้ำเมยและเปลี่ยนกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งตลาดเมียวดีอย่างรุนแรง โดยในการประชุมที่จะเกิดขึ้นจะได้หาแนวทางร่วมกันที่จะไม่ให้ปัญหาเหล่านี้กระทบต่อการค้าและความสัมพันธ์ของทั้งสองปะเทศ

รมช.พาณิชย์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจการค้าชายแดนไทย-พม่ายังกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้จะหารือเกี่ยวกับโครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่สอง เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าชายแดน และโครงการความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจการค้าเมียวดีกับเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการ ทั้งนี้ เพราะแม่สอดและเมียวดีเป็นประตูการค้าสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East West Economic Corridor) ภายใต้ความร่วมมือกลุ่มลุ่มน้ำโขง (GMS) และจะหารือเรื่องโครงการเมกะโปรเจกต์ ทวาย-กาญจนบุรี รวมถึงข้อเสนอเรื่องการยกระดับด่านการค้าชายแดนสิงขรเจดีย์สามองค์และห้วยต้นนุ่น เป็นต้น จากผลการประชุมคณะกรรมการ่วมการค้าไทย-พม่าเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาและจะถือโอกาสนี้หารือเตรียมการเยือนพม่าอย่างเป็นทางการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000102698&Keyword=%be%c1%e8%d2

Leave a comment »

ไทย-พม่าเตรียมเปิดโต๊ะเจรจา เคลียร์ปัญหาด่านชายแดนพรุ่งนี้

ไทย-พม่าเตรียมเปิดโต๊ะเจรจา เคลียร์ปัญหาด่านชายแดนพรุ่งนี้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กรกฎาคม 2553 15:23 น.
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจการค้าชายแดนไทย-พม่า เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคมนี้ ไทยและพม่าจะเปิดการเจรจาที่เมืองเมียวดี เกี่ยวกับปัญหาการปิดด่านการค้าชายแดนแม่สอด-เมียวดี ตามที่กระทรวงต่างประเทศพม่าได้ติดต่อประสานงานเรื่องการเปิดเจรจา 2 ฝ่ายมา คาดว่าปัญหาจะคลี่คลาย เนื่องจากรัฐบาลพม่าและรัฐบาลไทยมีเจตนาร่วมกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ และต้องการให้การค้าชายแดนกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ในฐานะที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ดี
ทั้งนี้ ในช่วงกว่าปีที่ผ่านมา การค้าของสองประเทศเติบโตอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะด่านแม่สอด-เมียวดี มีมูลค่าการค้าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้กว่า 25,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 55 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มทำให้การค้า การท่องเที่ยว เป็นไปอย่างคึกคัก จนกระทั่งเกิดปัญหาการสร้างเขื่อนกั้นตลิ่งแม่น้ำเมย เป็นเหตุให้รัฐบาลพม่าทำหนังสือประท้วง ดังนั้น การประชุมที่จะเกิดขึ้น จะมีการหาแนวทางร่วมกันที่จะไม่ให้ปัญหาดังกล่าวกระทบต่อการค้าและความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000102532&Keyword=%be%c1%e8%d2

Leave a comment »

แรงงานเตรียมหน้าบาน!! คสรท.เล็งถกปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นวันละ 10 บาท

แรงงานเตรียมหน้าบาน!! คสรท.เล็งถกปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นวันละ 10 บาท
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 กรกฎาคม 2553 11:31 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ข่าวดีสำหรับแรงงาน!! คสรท.เตรียมเชิญหน่วยงานและสมาคมดูแลอัตราค่าจ้าง มาร่วมหารือถึงทิศทางปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ให้ลูกจ้างเอกชนมีสิทธิ์เท่าเทียมกับข้าราชการ หลังคนในเครื่องแบบได้ขึ้นเงินเดือนร้อยละ 5 โดยสำหรับแรงงานขั้นต่ำ เล็งปรับขึ้นให้วันละ 10 บาท จากรายได้เฉลี่ยขั้นต่ำ 300 บาท/วัน

นางวิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ คสรท.จะเชิญหน่วยงาน และสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลอัตราค่าจ้าง หารือร่วมกันถึงทิศทางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างลูกจ้างเอกชนกับข้าราชการ ภายหลังจาก ครม.มีมติขึ้นเงินเดือนข้าราชการอีกร้อยละ 5

นางวิไลวรรณ กล่าวต่อไปว่า คสรท.คงยืนยันที่จะขอขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นอีก 10 บาทต่อวัน โดยที่ประชุมจะหารือร่วมกันถึงความเป็นไปได้ พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลอ้างอิงความจำเป็นในการขอขึ้นค่าจ้างอีก 10 บาท ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการสำรวจข้อมูลค่าครองชีพเบื้องต้น พบว่า ประชาชนต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จึงจะสอดคล้องกับรายจ่าย โดยปัจจุบันอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำในเขตกรุงเทพฯ อยู่ที่ 205 บาทต่อวัน ส่วนปริมณฑล และต่างจังหวัดจะอยู่ในอัตราที่แตกต่างกันไป

http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9530000098459&Keyword=%e1%c3%a7%a7%d2%b9

Leave a comment »

อธิบดีกรมการจัดหางาน ยืนยัน ไม่เปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่

อธิบดีกรมการจัดหางาน ยืนยัน ไม่เปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่

อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย ไม่เปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่แน่นอน พร้อมแก้ไขการขาดแคลนแรงงานด้วยระบบนำเข้า ขณะที่การพิสูจน์สัญชาติแรงงานพม่าอยู่ที่ 70,000 คน

นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงกรณีที่ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดรับแรงงานต่างด้าวรอบใหม่ หลังวันหยุดยาวสงกรานต์ เนื่องจากเกรงแรงงานที่กลับภูมิลำเนาจะไม่กลับเข้ามาทำงาน ว่า จากการร่วมประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน วานนี้ (19 เม.ย.53) ซึ่งมีคำสั่งให้แรงงานต่างด้าวที่หายไปกว่า 300,000 คน สามารถเข้ามาทำงานโดยใช้ระบบการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ควบคู่กับการดำเนินการพิสูจน์สัญชาติของแรงงานต่างด้าวที่แจ้งความจำนงไว้ก่อนหน้านี้ เบื้องต้นได้ติดต่อนำเข้าแรงงานจากพม่าแล้วประมาณ 20,000 คน ส่วนกรณีที่จะให้เปิดรับเพิ่มนั้น ยืนยันว่า ไม่มีการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่แน่นอน ซึ่งการนำเข้าแรงงานต่างด้าว หากนายจ้างที่มีความประสงค์จะจ้างแรงงานต่างด้าวเดิมที่มีอยู่ แต่ไปแจ้งความต้องการพิสูจน์สัญชาติไม่ทันกำหนด ก็ให้นายจ้างส่งแรงงานต่างด้าวดังกล่าวกลับประเทศต้นทาง พร้อมแจ้งรายชื่อต่างด้าวเดิมมายังกรมการจัดหางาน โดยที่กรมการจัดหางานจะแจ้งรายชื่อความต้องการไปยังประเทศต้นทาง เพื่อให้มีการนำเข้าอย่างถูกกฎหมายต่อไป

สำหรับความคืบหน้าการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าอยู่ที่ประมาณ 70, 000 คน โดยอัตราการให้บริการรวมทั้ง 3 ด่าน เพิ่มจาก 600 คน เป็น 1,000 คนต่อวัน จึงได้ประสานขอเพิ่มเจ้าหน้าที่ของพม่า เพื่อมาให้บริการการพิสูจน์สัญชาติให้เพียงพอกับจำนวนการพิสูจน์สัญชาติที่เกินเป้าในแต่ละวัน

ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : นภาเพ็ญ สุภโกศล Rewriter : ภัทรศรี วนิชาชีวะ
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th

วันที่ข่าว : 20 เมษายน 2553

Leave a comment »

รัฐบาลเล็งตั้ง5เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนนำร่องแม่สอด5.6พันไร่ดูดปิโตรเคมีลงพื้นที่

รัฐบาลเล็งตั้ง5เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนนำร่องแม่สอด5.6พันไร่ดูดปิโตรเคมีลงพื้นที่
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 19 เมษายน 2553 12:27 น.
รัฐบาลปักธงอ.แม่สอดนำร่องเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน กันพื้นที่ 5.6 พันไร่ ตั้งนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า เขตการพาณิชย์ ป้อนตลาดพม่า และอาเซียน พร้อมอัดฉีดสิทธิพิเศษทางภาษี และใช้แรงงานต่างด้าวได้อย่างเสรี เล็งต่อท่อก๊าซเข้าพื้นที่ลุยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดหากสำเร็จขยายอีก 4 พื้นที่รอบประเทศ ด้านพม่าตั้งนิคมอุตสาหกรรมเมียวดีรองรับ เปิดประตูสู่ภูมิภาคเอเชียใต้

ปักธง5.6พันไร่ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ

นิยม ไวยรัชพานิชย์ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าในการขยายความร่วมมือทางการค้ากับประเทศพม่า ว่า ขณะนี้ภาครัฐและเอกชนได้ผลักดันที่จะให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยล่าสุดได้อนุมัติโครงการนำร่องเขตเศรษฐกิจพิเศษไทยพม่า ซึ่งจะใช้พื้นที่ตั้งแต่แม่ปะถึงตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีเนื้อรวมทั้งสิ้นกว่า 5,600 ไร่ รวมทั้งจะสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 ในบริเวณบ้านวังตะเคียน โดยในบริเวณนี้จะอยู่ตรงข้ามเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดีของประเทศพม่า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรียกเลิกเขตป่าในบริเวณนี้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และการหาข้อสรุปโครงสร้างการบริหารในเขตเศรษฐกิจพิเศษว่าจะเป็นไปในแบบนิคมอุตสาหกรรม หรือตั้งองค์การมหาชนเข้ามาดูแล

อัดฉีดสิทธิพิเศษดึงลงทุน

โดยอุตสาหกรรม และธุรกิจต่างๆที่จะเข้ามาตั้งในบริเวณนี้จะได้สิทธิพิเศษทางภาษีของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ในเขต 3 และสิทธิพิเศษทางภาษีของการนิคมอุตสาหกรรม เช่น ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบ หรือวัสดุจำเป็นสำหรับส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นระยะเวลา 5 ปี อนุญาตให้หักค่าติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกจากกำไรสุทธิร้อยละ 25 ของเงินที่ลงทุนแล้วในการนั้นในกิจการที่ได้รับส่งเสริม โดยผู้ได้รับการส่งเสริมจะเลือกหักจากกำไรสุทธิของปีใดปีหนึ่ง หรือหลายปีก็ได้ภายใน 10 ปี เป็นต้น

เล็งดูดอุตฯปิโตรเคมีลงพื้นที่

นอกจากนี้ผู้ที่เข้าไปตั้งโรงงานในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิพิเศษในการใช้แรงงานจากประเทศพม่า ซึ่งแรงงานสามารถเข้ามาทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับได้ ทำให้เหมาะที่จะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก และเป็นอุตสาหกรรมสะอาด เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป อุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุปโภค บริโภค เพื่อป้อนเข่าสู่ประเทศพม่า เป็นต้น ตลอดจนอุตสาหกรรมที่ต้องใช้วัตถุดิบจากประเทศพม่า โดยในขณะนี้ได้มีการเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ต่อท่อก๊าซธรรมชาติจากพม่าเข้ามายังบริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ซึ่งเหมาะที่จะให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีจากมาบตาพุดขยายการลงทุนเข้ามายังบริเวณนี้

เตรียมขยายเขตศก.พิเศษเพิ่ม 4 แห่ง

ทั้งนี้ยังก่อให้เกิดการพัฒนาภาคการพาณิชย์ในบริเวณดังกล่าว เกิดการสร้างคลังสินค้า และส่งออกไปยังประเทศพม่าผ่านไปยังท่าเรือลงทะเลอันดามัน หรือเข้าไปยังประเทศอินเดีย โดยในการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้รัฐบาลแทบไม่ได้อุดหนุนงบประมาณ เพราะภาคเอกชนพร้อมที่จะเข้ามาร่วมลงทุนอยู่แล้ว เพียงแต่ลงทุนในเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนหลายหมื่นล้านบาท ส่วนในอานคาหากโครงการนี้ประสบผลสำเร็จคาดว่าจะขยายไปตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนไปอีก 4 แห่ง ได้แก่ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย , อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส , จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสระแก้ว

พม่าตั้งนิคมอุตฯเมียวดีประตูสู่ตะวันตก

ด้าน บรรพต ก่อเกียรติเจริญ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวว่า ในส่วนของเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดี ประเทศพม่านั้น ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 10 กิโลเมตร ทางรัฐบาลพม่าได้กันพื้นที่ไว้กว่า 5,000 ไร่ ส่วนในเฟตแรกได้ก่อสร้างเสร็จแล้วพร้อมที่จะให้บริการประมาณ 1,250 ไร่ โดยได้ลงทุนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน คลังสินค้า เขตพาณิชยการ และอาคารสถานที่ราชการวันสต๊อปเซอร์วิส ซึ่งรัฐบาลพม่าได้ตั้งเป้าหมายให้อำเภอเมียวดีเป็นประตูสู่ตะวันตกของอาเซียน ดังนั้นหากโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษของฝั่งไทยยังไม่รีบเร่งดำเนินการ ความเจริญ และเม็ดเงินที่คาดว่าไทยจะได้จะตกไปอยู่ในฝั่งประเทศพม่า เพราะมีความพร้อมทุกด้าน และค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่า

อย่างไรก็ตาม การที่พม่าตั้งเขตนิคมอุตสาหกรรมเมียวดี ก็จะเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปลงทุนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก และสามารถส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงกับพม่า นอกจากนี้ถ้าในอนาคตระบบการเมืองของพม่าเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ต่างชาติก็จะยกเลิกมาตรการกีดกันพม่า และให้สิทธิพิเศษทางภาษีจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ผู้ประกอบการไทยก็จะได้ประโยชน์ในส่วนนี้ด้วย รวมทั้งการที่ภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวอย่างมากในเมียวดี จะเกิดการจ้างงานเพิ่ม 1-2 แสนราย ก็จะทำให้การค้าชายแดนในบริเวณนี้มีความคึกคักมากขึ้น

http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9530000053439&Keyword=%e1%c3%a7%a7%d2%b9

Leave a comment »

ผู้ว่าฯ ทูตไทยในพม่าระดมตัวแทนรัฐ-เอกชนตากตั้งโต๊ะถก “สหรัฐฯ-เม็กซิโก” โมเดลดันแม่สอด-เมียวดี

ผู้ว่าฯ ทูตไทยในพม่าระดมตัวแทนรัฐ-เอกชนตากตั้งโต๊ะถก “สหรัฐฯ-เม็กซิโก” โมเดลดันแม่สอด-เมียวดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 เมษายน 2553 12:52 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ตากผู้ว่าฯ ตากจับมือทูตไทยประจำพม่า พร้อมภาคธุรกิจเอกชน-ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตั้งโต๊ะศึกษาแนวทางพัฒนาเขตเศรษฐกิจสหรัฐฯ-เม็กซิโก หวังใช้เป็นต้นแบบพัฒนาเขตเศรษฐกิจแม่สอด-เมียวดี

นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตากร่วมกับนายอภิรัฐ เหวียนระวี เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่า เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสัมมนาโครงการศึกษาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก เพื่อเป็นแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนไทย-พม่า ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ระหว่างวันที่ 8-9 เมษายน 2553

โดยมีเจ้าหน้าที่จากกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง หัวหน้าส่วนราชการ จากด่านตรวจคนเข้าเมืองตาก (แม่สอด) ด่านศุลกากรแม่สอด หน่วยงานด้านความมั่นคง (ทหาร-ตำรวจ-ตชด.) รวมทั้งประธานหอการค้าจังหวัดตาก ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ พร้อมคณะกรรมการภาครัฐ-เอกชน พ่อค้านักธุรกิจ กว่า 100 คน เข้าร่วมประชุม ที่โรงแรมเซ็นทาราแม่สอดฮิลล์รีสอร์ท เขตเทศบาลนครแม่สอด อ.แม่สอด เพื่อวางยุทธศาสตร์สร้างสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน (พม่า) ที่ชายแดน เพิ่มขีดความสามารถและสร้างฐานการผลิตที่เชื่อมโยงกัน

รวมไปถึงการสร้างฐานจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนแม่สอด-เมียวดี ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เหมือนที่เคยทำสำเร็จมาแล้วที่เขตเศรษฐกิจฯสหรัฐ-เม็กซิโก

โดยโครงการดังกล่าวจะดำเนินการต่อไปหากเขต ศก.พิเศษชายแดน ไทย-พม่า(แม่สอด-เมียวดี) สำเร็จ ก็จะเป็นต้นแบบนำร่องไปที่ชายแดนไทย-ลาว, ไทย-มาเลเซีย ฯลฯ รวมทั้งใช้เป็นแนวทางการดำเนินการสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอื่นๆ ต่อไป

นายสามารถกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนไทย-พม่า จะเกิดขึ้น ภายหลังศึกษารูปแบบ เขต ศก.สหรัฐ-เม็กซิโก ที่ประสบความสำเร็วมาแล้ว ซึ่งการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ จะต้องกำหนดพื้นที่สำหรับกิจกรรมการพัฒนาเพื่อให้เส้นทางหลัก ศูนย์กลางการพัฒนาและจุดการพัฒนาตามแนวพื้นที่เชื่อมโยงกิจกรรมเศรษฐกิจระหว่างและขยายการพัฒนาไปยังพื้นที่โดยรอบ รวมทั้งการกำหนดบทบาทของเมืองและการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเศรษฐกิจ ในรูปแบบต่างๆ เช่นการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความร่วมมืออิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS)

ความสำเร็จที่เขตเศรษฐกิจชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ทั้งด้านผู้อพยพ การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด รวมทั้งการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ได้จะเป็นต้นแบบสำคัญที่เราจะนำมาแก้ไขปัญหาในลักษณะที่ใกล้เคียงและคล้ายคลึงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนไทย-พม่า ที่มีปัญหาด้านผู้อพยพ แรงงานเถื่อน การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ ฯลฯผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวและว่า

ด้าน นายอภิรัฐ เหวียนระวี เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่า กล่าวว่า พม่ากำลังจะจัดการเลือกตั้งในปี 2553 นี้ เชื่อว่าพม่าจะค่อยๆพัฒนาทุกด้านเพื่อให้เป็นสากลและให้นานาชาติมั่นใจเข้าไปลงทุนทำการค้า-ธุรกิจมากขึ้น การเลือกตั้งในพม่า จะทำให้กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ-การค้า ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้คณะผู้เข้าประชุมจะได้ไปศึกษารูปแบบการค้าชายแดนไทย-พม่า ที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า อ.แม่สอด จ.ตาก และรับฟังบรรยายสรุปจาก จนท.ด่านศูลกากร-ด่านตรวจคนเข้าเมือง รวมทั้งเดินทางไปศึกษารูปแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดีด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000048869&Keyword=%be%c1%e8%d2

Leave a comment »

ชาวพม่าแห่ข้ามฝั่งเข้าแม่สอดซื้อของตุนสงกรานต์-ทำเงินสะพัด 8-10 ล้าน/วัน

ชาวพม่าแห่ข้ามฝั่งเข้าแม่สอดซื้อของตุนสงกรานต์-ทำเงินสะพัด 8-10 ล้าน/วัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2553 11:49 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ตากใกล้สงกรานต์ชาวพม่าแห่เดินทางข้ามมาซื้อสินค้าฝั่งไทยจำนวนมาก เงินสะพัดกว่าวันละ 8-10 ล้านบาท

รายงานข่าวจากชายแดนไทย-พม่า ด้านจังหวัดตาก แจ้งว่า ที่บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ตรงข้าม จ.เมียวดี ประเทศพม่า ได้มีพ่อค้า-ประชาชน-นักท่องเที่ยว ชาวพม่าจากเมียวดี-กอกาเรก-ผาอัน-เมืองหลักสำคัญๆรวมทั้งในกรุงร่างกุ้ง เดินทางเข้ามายัง อ.แม่สอด อย่างคึกคัก วันละประมาณ 2,000 คน จากปกติ 1,200-1,500 คน ต่อวันเท่านั้น

พวกเขาได้ข้ามฝั่งมาซื้อสินค้า เตรียมไว้สำหรับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่ไทย-พม่า มีประเพณีที่คล้ายคลึงกัน เช่น เข้าวัดทำบุญ-รดน้ำดำหัวพ่อ-แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย-ผู้สูงอายุ โดยมีการซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงปกติ ประมาณ 50-60% ทำให้มีเงินสะพัดไม่น้อยกว่าวันละ 8-10 ล้านบาท หรือบางวันมากกว่านั้น ไม่รวมสินค้าส่งออกและมูลค่าการค้าชายแดนในแต่ละวัน ซึ่งมีมูลค่าการค้าวันละนับร้อยล้านบาท บรรดารถสองแถวต่างทำเงินได้มากกว่าปกติหลายเท่า เพราะผู้โดยสารมากขึ้นอีก 2-3 เท่าตัว

นายบรรพต ก่อเกียรติเจริญ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวว่า ช่วงนี้มีชาวพม่าเดินทางมาซื้อสินค้า เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว เพื่อเตรียมไว้ใช้ในงานเทศกาลสงกรานต์ ส่งผลทำให้มีเงินสะพัดจากการค้าของร้านค้าสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต-มินิมาร์เก็ต และโชวห่วย ต่างๆ ขายดี ขึ้น

ด้าน นายบุญลือ มิปิกุล หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดตาก กล่าวถึงมาตรการการดูแล ผู้บริโภค ว่า เพื่อให้พ่อค้าขายสินค้าในราคาปกติและเป็นธรรมกับผู้บริโภค สำนักงานการค้าภายในจังหวัดตาก จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีกสินค้าต่อหน่วย และค่าบริการ ที่เห็นชัดเจนและเปิดเผยสามารถอ่านได้ง่าย เพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสเปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หากมีการจูงใจทำให้ราคาจำหน่ายสูงเกินสมควรจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000047621&Keyword=%be%c1%e8%d2

Leave a comment »