สศอ.เผย 3 สินค้าอุตฯ ยอดส่งออกพุ่งกระฉูด ยันมีคำสั่งซื้อเข้ามาอีกเพียบ ส่งผลให้ สศอ.ต้องปรับเพิ่มประมาณการดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของปี 53 จาก 7 % เพิ่มเป็น 13 % มูลค่า 3.59 ล้านล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี แต่ยอมรับยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาท และการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ขณะที่ สสว.เผยดัชนีความเชื่อมั่น SME มิ.ย.53 อยู่ที่ 49.3 ฟากโตโยต้าปลื้ม ตลาดรถยนต์โตพุ่ง
นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.ได้ปรับเป้าหมายอัตราการเติบโตของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (จีดีพีอุตสาหกรรม) ทั้งปี 2553 อยู่ที่ 12-13% จากเดิมคาดว่าอยู่ที่ 6-7% ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 7 ปี นับตังแต่ปี 2546 ที่ผ่านมา และคาดว่ามูลค่าจะอยู่ที่ 3.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนล้านบาท จากปีก่อน มีมูลค่าอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ภายใต้ปัจจัยเงินเฟ้ออยู่ในระดับไม่เกิน 3.5% ส่วนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมทั้งปีคาดการณ์อยู่ที่ 15-16 %
ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวขึ้น เนื่องจากการส่งออกขยายตัวในทิศทางที่ดี ประกอบกับคำสั่งซื้อสินค้า (ออเดอร์) ที่มีอยู่ต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี และบางอุตสาหกรรมมีถึงต้นปี 2554 ขณะที่ออเดอร์ใหม่ๆก็จะเริ่มเข้ามาในไตรมาส 3 อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอเสื้อผ้า เซรามิก อัญมณี เป็นต้น แต่สิ่งที่น่ากังวลคือปัญหาขาดแคลนแรงงานที่อาจทำให้ประกอบการไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามออเดอร์ที่เข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานทักษะที่มีฝีมือ
สำหรับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ครึ่งปีแรกมีการขยายตัว 24.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 1 จีดีพีภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสูงถึง 22.8% สูงสุดในรอบ 16 ปี ส่วนอัตราการใช้กำลังผลิต 6 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 62.9% สะท้อนการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นตามควาวมต้องการสินค้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตัวเลขการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าโต กว่าที่คาดไว้มาก ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวทำให้ภาคการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีแรกโตสูงถึง 70% ซึ่งเมื่อหักการส่งออกทองคำออก ก็ทำให้ตัวเลขการส่งออกที่ไม่นับรวมการส่งออกทองคำอยู่ที่ระดับ 38.7% โดยเดือนมิถุนายน 2553 มูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไม่รวมทองคำมีมูลค่าสูงถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นที่คาดว่าการส่งออกปีนี้จะโตถึง 19-20 %
ส่วนแนวโน้มดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลัง คาดว่ายังขยายตัวได้ดี เพราะยังมีการตัดสินใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างๆ จำนวนมาก อาทิ ฟอร์ด จีเอ็ม โตโยต้า เป็นต้น ซึ่งยอมรับว่าการขยายตัวจะเป็นไปในอัตราที่ชะลอตัวลงแต่ยังมีความแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะฐานของดัชนีฯจะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ยอมรับว่าอุตสาหกรรมที่ยังน่าเป็นห่วงอาจกระทบต่อการขยายตัวของดัชนีอุตสาหกรรมคือ ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งขณะนี้อยู่ในภาวะติดลบ
“ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเผชิญในครึ่งปีหลัง ยังเป็นการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก เสถียรภาพทางการเมือง แต่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หลังจากน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับขึ้นแตะระดับ 81 ดอลลาร์ต่อบาเรล จากกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาเรล ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็ส่งผลกระทบให้มูลค่าการส่งออกและมูลค่าของดัชนีอุตสากรรมลดลงด้วย” นางสุทธินีย์ กล่าว
ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเอสเอ็มอี (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการประจำเดือน มิ.ย.53 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคเอสเอ็มอีเดือน มิ.ย.53 อยู่ที่ระดับ 49.3 เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค.ที่อยู่ระดับ 42.0 และเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกภาคธุรกิจ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 50.2 จาก ระดับ 51.6 และเป็นการเพิ่มขึ้นทุกภาคธุรกิจโดยภาคการค้าส่งภาคการค้าปลีกและภาคบริการ
มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์รวมปี 2553 คาดอาจสูงถึง 750,000 คัน พร้อมตั้งเป้าหมายการขายของตลาดรถยนต์ของโตโยต้าให้ได้ในระดับ 300,000 คัน และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากกว่า 40%
“ตลาดรถยนต์ในปีนี้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องประกอบกับเศรษฐกิจและการเมืองโดยรวมของประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี คาดว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้จะสูงขึ้นมากกว่า 700,000 คัน และมีความเป็นไปได้ที่จะถึงระดับ 750,000 คัน คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่สูงเกือบ 37% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว”
อย่างไรก็ดี ในส่วนของโตโยต้าจะพยายามสร้างยอดขายให้บรรลุสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2549 และคาดว่าจะสูงถึง 300,000 คัน และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ในระดับที่มากกว่า 40% ด้านการส่งออกเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออกที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนจากความต้องการรถจากลูกค้าในทวีปหลักๆ มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โตโยต้าคาดว่าการส่งออกรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2553 มีประมาณ 330,000 คัน เติบโต 39% |